Sroikaew Phromsungnoen | 19 เมษายน 17:01 |
กรรมฝ่ายบุญ ๘ อย่าง
ต่อไปจะกล่าวถึงฝ่ายบุญหรือกุ ศลกรรม ฝ่ายบุญก็มี ๘ เหมือนกันคือ
(๑) บุญหรือกรรมดีบางอย่างถูกคติวิ บัติห้ามเสีย จึงไม่ให้ผล
(๒) กรรมดีบางอย่างถูกอุปธิวิบัติห้ ามเสีย จึงไม่ให้ผล
(๓) กรรมดีบางอย่างถูกกาลวิบัติห้ ามเสีย จึงไม่ให้ผล
(๔) กรรมดีบางอย่างถูกปโยควิบัติห้ ามเสีย จึงไม่ให้ผล
(๕) กรรมดีบางอย่างอาศัยคติสมบัติ จึงให้ผล
(๖) กรรมดีบางอย่างอาศัยอุปธิสมบัติ จึงให้ผล
(๗) กรรมดีบางอย่างอาศัยกาลสมบัติ จึงให้ผล
(๘) กรรมดีบางอย่างอาศัยปโยคสมบัติ จึงให้ผล
ในกรรมดี ๘ อย่างนี้ จะอธิบายความหมายของกรรมดี บางอย่างว่า ทำไมจึงไม่ให้ผล บางคนทำกรรมดี อย่างพวกเรานี้บางทีทำกรรมดีให้ ผลทันทีเลย แต่บางทีกรรมนั้นยังไม่ให้ ผลเพราะอะไร ? ก็เพราะอาศัยเหตุปัจจัยคือสมบั ติและวิบัตินั่นเอง
ข้อที่ ๑ กรรมดีบางอย่างถูกคติวิบัติห้ ามเสีย จึงไม่ให้ผล
ในคัมภีร์ท่านยกตัวอย่างว่า พระเจ้าอชาตศัตรู ผู้ทรงทำกรรมดีไว้มากเหมือนกัน นอกจากที่ทรงทำกรรมชั่วไว้ ถ้าพระองค์ไม่ไปฆ่าพ่อ คือปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู ้เป็นพระราชบิดา พระองค์คงไปเกิดในสวรรค์แน่ แต่การฆ่าพ่อนี้บาปกรรมหนัก เป็นเหตุให้พระองค์ต้องไปตกนรก เมื่อตกนรกแล้ว กรรมดีที่พระองค์เคยทำไว้มาก เช่น ทรงอุปถัมภ์สังคยานาพระธรรมวินั ยในพระพุทธศาสนา ทรงถึงพระรัตนตรัย ทรงฟังธรรม แต่บุญเหล่านั้นไม่อาจจะตามให้ ผลได้เมื่อพระองค์ไปตกนรก เพราะอะไร ? เพราะไปเกิดอยู่ในนรกเสียแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านจึงบอกว่า กรรมดีบางอย่างถูกคติวิบัติห้ ามเสียจึงไม่ให้ผล
ข้อที่ ๒ กรรมดีบางอย่างถูกอุปธิวิบัติห้ ามเสีย จึงไม่ให้ผล
เช่น บางคนเกิดเป็นลูกกษัตริย์ แต่ว่าตาบอดหรือหรือบ้าไบ้ หรือหูหนวก ตามปกติก็ควรจะได้เป็นรัชทายาท แต่เนื่องจากว่ารูปร่างไม่ สมประกอบเสียแล้ว เลยเป็นรัชทายาทไม่ได้ เพราะอะไร ? เพราะอุปธิวิบัติห้ามเสียแล้ว
ข้อที่ ๓ กรรมดีบางอย่างถูกกาลวิบัติห้ ามเสีย จึงไม่ให้ผล
คือ บางคนทำกรรมดีไว้มาก แต่เขากลับไปเกิดในยุคที่พระเจ้ าแผ่นดินไม่ประกอบด้วยธรรม ผู้ปกครองทารุณโหดร้าย ไปเกิดในยุคที่ข้าวยากหมากแพง กรรมดีที่เขาเคยกระทำไห้ ผลเขาไม่ได้ในช่วงนั้น เพราะเขาไปเกิดในกาลวิบัติเสี ยแล้ว กรรมดีมีอยู่แต่ไม่ให้ผลในตอนนั ้น
ข้อที่ ๔ กรรมดีบางอย่างถูกปโยควิบัติห้ ามเสีย จึงไม่ให้ผล
คิอ บางคนทำดีเอาไว้ในชาติปางก่อน แต่ในชาติปัจจุบันไม่ทำกรรมดี กลับมาทำชั่ว เป็นคนขี้เกียจไม่เอาการงาน แม้เขาเกิดมาเป็นมนุษย์ก็จริง แต่เขาไม่ทำดีในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น กรรมดีที่เขาเคยทำไว้ ถูกกรรมชั่วคือการกระทำในปัจจุ บันห้ามผลที่มาในอดีตเสีย จึงไม่มีผล
ข้อที่ ๕ กรรมดีบางอย่างอาศัยคติสมบัติ จึงให้ผล
เช่นบางคนทำกรรมดีไว้ ทำให้เขาไปเกิดในสวรรค์ก็สุ ขและรุ่งเรืองทันที หรือเกิดมาเป็นมนุษย์ก็สุขและรุ ่งเรืองทันที เพราะกรรมดีของเขาหนุนอยู่แล้ว
ข้อที่ ๖ กรรมดีบางอย่างอาศัยอุปธิสมบัติ หรือรูปสมบัติจึงให้ผล
บางคนเกิดเป็นเทวดา มีรูปสวย รูปหล่อยิ่งมีความสุขมาก หรือเกิดเป็นมนุษย์ก็มีร่ างกายสมบูรณ์ หัวก็ดี สมองแจ่มใส ผิวพรรณผ่องใส เขาได้อาศัยอุปธิสมบัติ ยิ่งหนุนเขามากขึ้น บางคนยิ่งสุขล้นขึ้นไปอีก
ข้อที่ ๗ กรรมดีบางอย่างอาศัยกาลสมบัติ จึงให้ผล
คือเขาเกิดในยุคของพระพุทธเจ้า หรือยุคของคนมีศีลธรรม ผู้ปกครองดี เขาก็สุข รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพราะกรรมดีเขามีอยู่แล้ว
ข้อที่ ๘ กรรมดีบางอย่างอาศัยปโยคสมบัติ จึงให้ผล คืออาศัยความเพียรจึงให้ผล
เมื่อเขาเกิดมาเป็นมนุษย์หรื อเกิดมาเป็นเทวดาและเขาทำดีตลอด เขาไม่ทำชั่ว กรรมดีก็หนุนเขาเต็มที่ เพราะเขาอาศัยปโยคสมบัติ
กรรมทั้ง ๑๖ ประเภทนี้ เป็นกรรมที่กล่าวไว้ค่อนข้ างละเอียดในคัมภีร์ อรรถกถาพระอภิธรรม และในอรรถกถาพระสูตร ไม่ปรากฏในพระไตรปิฎก พวกเราจึงไม่ค่อยได้ยินกันนัก แต่นี้แหละทำให้เราได้เห็นชัดว่ า กรรมที่เราทำไว้บางอย่างทำไมจึ งไม่ให้ผล การที่มันยังไม่ให้ผลนั้ นเพราะไปอาศัยวิบัติ ๔ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งห้ามเสีย หรือคนทำชั่วบางคนทำไมจึงไม่ได้ รับผล ก็เพราะไปอาศัยสมบัติ ๔ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ห้ามกรรมชั่วของเขาเสียจึงไม่ ให้ผล แล้วทำไมบางคนทำดีจึงได้ไว ก็เพราะเขาอาศัยสมบัติ ๔ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งหนุนเขา และทำไมบางคนทำชั่ว พอทำทันทีก็ได้ผลทันที ก็เพราะอาศัยวิบัติ ๔ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่งหนุนเขา เขาจึงได้ผลไว แต่กรรมที่เราทำไว้จะต้องให้ผล เพียงแต่เร็วหรือช้าเท่านั้นเอง
นี้คือกฏแห่งกรรมอีกอย่างหนึ่ งในพระพุทธศาสนา พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งกรรม เรียกว่า กรรมวาที เป็นผู้กล่าวเรื่องกฏแห่งกรรม คือเชื่อกรรม อย่างเรามาทำความดีในขณะนี้ ถ้าเทียบในกฏแห่งกรรม ๑๖ ฮย่างนั้นเทียบกับข้อไหน ? เทียบกับข้อปโยคสมบัติ คือเรามาทำกรรมดี เมื่อเราทำกรรมดี ถ้าบุญของเราที่ทำไว้แล้วมีอยู่ มันก็หนุนเรายิ่งๆ ขึ้น ถ้าว่าบาปที่เราเคยทำมา บาปนั้นก็ลดน้อยลง เพราะกรรมดีนี้มันผลักบาปออก มันผลักบาปไม่ให้เข้ามา มันกันบาปเอาไว้ ปโยคะฝ่ายดีนี้มันหนุนบุญและผลั กบาปออก
เพราะฉะนั้น การเจริญภาวนาอย่างที่เราทั้ งหลายปฏิบัติอยู่นี้ จะมีผลมากกว่าการให้ทาน กว่ารักษาศีล เป็นกรรมที่เหนือกรรมโดยทั่ วไปในฝ่ายดี และสามารถจะห้ามกรรมฝ่ายชั่วได้ ดีด้วย
นี้คือกฏแห่งกรรม ๑๖ อย่าง ในพระพุทธศาสนา.
ต่อไปจะกล่าวถึงฝ่ายบุญหรือกุ
(๑) บุญหรือกรรมดีบางอย่างถูกคติวิ
(๒) กรรมดีบางอย่างถูกอุปธิวิบัติห้
(๓) กรรมดีบางอย่างถูกกาลวิบัติห้
(๔) กรรมดีบางอย่างถูกปโยควิบัติห้
(๕) กรรมดีบางอย่างอาศัยคติสมบัติ จึงให้ผล
(๖) กรรมดีบางอย่างอาศัยอุปธิสมบัติ จึงให้ผล
(๗) กรรมดีบางอย่างอาศัยกาลสมบัติ จึงให้ผล
(๘) กรรมดีบางอย่างอาศัยปโยคสมบัติ จึงให้ผล
ในกรรมดี ๘ อย่างนี้ จะอธิบายความหมายของกรรมดี
ข้อที่ ๑ กรรมดีบางอย่างถูกคติวิบัติห้
ในคัมภีร์ท่านยกตัวอย่างว่า พระเจ้าอชาตศัตรู ผู้ทรงทำกรรมดีไว้มากเหมือนกัน นอกจากที่ทรงทำกรรมชั่วไว้ ถ้าพระองค์ไม่ไปฆ่าพ่อ คือปลงพระชนม์พระเจ้าพิมพิสารผู
ข้อที่ ๒ กรรมดีบางอย่างถูกอุปธิวิบัติห้
เช่น บางคนเกิดเป็นลูกกษัตริย์ แต่ว่าตาบอดหรือหรือบ้าไบ้ หรือหูหนวก ตามปกติก็ควรจะได้เป็นรัชทายาท แต่เนื่องจากว่ารูปร่างไม่
ข้อที่ ๓ กรรมดีบางอย่างถูกกาลวิบัติห้
คือ บางคนทำกรรมดีไว้มาก แต่เขากลับไปเกิดในยุคที่พระเจ้
ข้อที่ ๔ กรรมดีบางอย่างถูกปโยควิบัติห้
คิอ บางคนทำดีเอาไว้ในชาติปางก่อน แต่ในชาติปัจจุบันไม่ทำกรรมดี
ข้อที่ ๕ กรรมดีบางอย่างอาศัยคติสมบัติ จึงให้ผล
เช่นบางคนทำกรรมดีไว้ ทำให้เขาไปเกิดในสวรรค์ก็สุ
ข้อที่ ๖ กรรมดีบางอย่างอาศัยอุปธิสมบัติ หรือรูปสมบัติจึงให้ผล
บางคนเกิดเป็นเทวดา มีรูปสวย รูปหล่อยิ่งมีความสุขมาก หรือเกิดเป็นมนุษย์ก็มีร่
ข้อที่ ๗ กรรมดีบางอย่างอาศัยกาลสมบัติ จึงให้ผล
คือเขาเกิดในยุคของพระพุทธเจ้า หรือยุคของคนมีศีลธรรม ผู้ปกครองดี เขาก็สุข รุ่งเรืองยิ่งขึ้น เพราะกรรมดีเขามีอยู่แล้ว
ข้อที่ ๘ กรรมดีบางอย่างอาศัยปโยคสมบัติ จึงให้ผล คืออาศัยความเพียรจึงให้ผล
เมื่อเขาเกิดมาเป็นมนุษย์หรื
กรรมทั้ง ๑๖ ประเภทนี้ เป็นกรรมที่กล่าวไว้ค่อนข้
นี้คือกฏแห่งกรรมอีกอย่างหนึ่
เพราะฉะนั้น การเจริญภาวนาอย่างที่เราทั้
นี้คือกฏแห่งกรรม ๑๖ อย่าง ในพระพุทธศาสนา.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น