วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

บุญ10 (18/7/59)

#   ว. ฟังธรรม

(ชาดก ใน # อ.แสดงธรรม)

เรื่อง   คุณธรรมที่ไม่ตายไปจากโลก

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภพราหมณ์ผู้ถือความบริสุทธิ์

ของป่าช้า ชื่ออุปสาฬหกะ.

มีเรื่องได้ยินมาว่า พราหมณ์นั้นเป็นผู้มั่งคั่งมีทรัพย์มาก แต่เพราะค่าที่ตนเป็นคนเจ้าทิฏฐิ จึงมิได้ทำการสงเคราะห์พระพุทธเจ้าทั้งหลาย แม้ประทับอยู่ ณ พระวิหารใกล้ๆ แต่บุตรของเขาเป็นคนฉลาด มีความรู้.

พราหมณ์บอกบุตรเมื่อตัวแก่เฒ่าว่า นี่แน่ลูก เจ้าอย่าเผาพ่อในป่าช้าที่เผาคนเฉาโฉด แต่ควรเผาพ่อในป่าช้าที่ไม่ปะปนกับใครๆ แห่งหนึ่ง.

บุตรกล่าวว่า พ่อจ๋า ลูกไม่รู้จักที่ที่ควรเผาพ่อ ทางที่ดีพ่อพาลูกไปแล้ว บอกว่าให้เผาตรงนี้.

พราหมณ์พูดว่า ดีละลูก แล้วพาบุตรออกจากเมืองขึ้นไปยังยอด

เขาคิชฌกูฏ กล่าวว่า ลูกตรงนี้แหละเป็นที่ที่ไม่เคยเผาคน

เฉาโฉดอื่น. ลูกควรเผาพ่อตรงนี้แล้ว ก็เริ่มลงจากภูเขาพร้อมกับลูก.

ในวันนั้นเวลาใกล้รุ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูเผ่าพันธุ์ผู้ที่ควร

โปรด ได้ทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยโสดาปัตติ

มรรคของพ่อลูกนั้น เพราะฉะนั้น จึงทรงถือเอาทางนั้นเสด็จไปยังเชิงภูเขา ดุจพรานชำนาญทาง ประทับนั่งรอพ่อลูกลงจากยอดเขา. พ่อลูกลงจากภูเขาได้เห็นพระศาสดา.

พระศาสดาทรงกระทำปฏิสันถาร ตรัสถามว่า จะไปไหนกันพราหมณ์. มาณพกราบทูลเนื้อความให้ทรงทราบ.

พระศาสดาตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น มาเถิด เราจะไปยังที่ที่บิดาของเจ้าบอก ทรงพาพ่อลูกทั้งสองขึ้นสู่ยอดเขา ตรัสถามว่า ที่ตรงไหนเล่า.

มาณพกราบทูลว่า บิดาของข้าพระองค์บอกว่า ระหว่างภูเขาสามลูกนี่แหละ พระเจ้าข้า.

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมาณพ บิดาของเจ้ามิใช่ถือความบริสุทธิ์แห่งป่าช้า ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน บิดาของเจ้าก็ถือความบริสุทธิ์แห่งป่าช้า อนึ่ง บิดาคนนี้บอกเจ้าว่า จงเผาเราตรงนี้แหละ มิใช่เวลานี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็บอกที่สำหรับเผาตน

ในที่นี้เหมือนกัน.

เมื่อเขากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.

ในอดีตกาล ที่กรุงราชคฤห์นี้แหละ ได้มีพราหมณ์ชื่ออุปสาฬหกะคนเดียวกัน

นี้แหละ และบุตรของเขาก็คนเดียวกันนี้.

ในครั้งนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ แคว้นมคธ ครั้นจบศิลปศาสตร์แล้ว จึงออกบวชเป็นฤๅษี ทำอภิญญาและสมาบัติให้เกิด เพลิดเพลินอยู่ด้วยฌานกรีฑา อาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศเป็นเวลาช้า

นาน แล้วจึงไปพักอยู่ ณ บรรณศาลาใกล้ภูเขาคิชฌกูฏ

เพื่อเสพของเค็มของเปรี้ยว.

ในครั้งนั้น พราหมณ์นั้นได้บอกกะบุตรทำนองเดียวกันนี้แหละ เมื่อบุตรกล่าวว่า พ่อจงบอกที่เช่นนั้นแก่ลูกเถิด.

แล้วบอกที่นี้แหละ แล้วลงไปพบพระโพธิสัตว์พร้อมกับบุตร ได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์.

พระโพธิสัตว์ถามทำนองเดียวกันนี้แหละ ครั้นฟังคำของมาณพแล้ว จึงกล่าวว่า มาเถิด เราจะรู้ว่าที่ที่บิดาเจ้าบอกปะปนหรือไม่

ปะปน

แล้วพาบิดาและบุตรขึ้นไปยอดภูเขา เมื่อมาณพกล่าวว่า ระหว่างภูเขาสามลูกนี้แหละ เป็นที่ไม่ปะปน จึงตอบว่า ดูก่อนมาณพ ในที่นี้แหละ ไม่มีปริมาณของผู้ที่ถูกเผา บิดาของเจ้านั่นเองเกิดในตระกูล

พราหมณ์ เมืองราชคฤห์นี้แหละ

ชื่ออุปสาฬหกะอย่างเดียวกัน ถูกเผาในระหว่างภูเขานี้มาแล้วถึงหมื่นสี่พันชาติ. อันที่จริง สถานที่ที่ไม่ถูกเผาก็ดี สถานที่ที่ไม่ใช่ป่าช้าก็ดี สถานที่ที่ศีรษะไม่ทอดลงก็ดี ไม่อาจหาได้ในแผ่นดิน

แล้วกำหนดด้วยญาณอันรู้ถึงภพของ

สัตว์ที่อยู่อาศัยในชาติก่อน (บุพเพนิวาสญาณ)

จึงกล่าวสองคาถาว่า.

พราหมณ์ชื่อว่า อุปสาฬหกะทั้งหลาย ถูกญาติทั้งหลายเผาเสียในประเทศนี้ ประมาณหมื่นสี่พันชาติแล้ว สถานที่อันใครๆ ไม่เคยตายแล้ว ย่อมไม่มีในโลก.

สัจจะ ธรรม อหิงสา สัญญมะ และทมะมีอยู่ในบุคคลใด พระอริยะทั้งหลายย่อมคบหาบุคคลนั้น คุณชาตินี้แลชื่อว่าไม่ตายในโลก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนามตํ ได้แก่ จริงอยู่ สถานที่อันไม่ตาย ท่านเรียกว่าอมตะ ด้วยการเปรียบเทียบ. เมื่อจะปฏิเสธข้อนั้น จึงกล่าวว่า อนามตํ (ที่ที่ไม่เคยตาย). บาลี เป็น อมตํ ก็มี อธิบายว่า ชื่อว่าที่อันไม่ใช่สุสาน อันเป็นที่ที่ใครๆ ไม่เคยตาย ไม่มีในโลก.

บทว่า ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโมจ ได้แก่ญาณ คือสัจธรรมอันเป็นส่วนเบื้องต้น มีอริยสัจสี่เป็นพื้นฐาน

และโลกุตตรธรรม มีอยู่ในบุคคลใด.

บทว่า อหึสา ได้แก่ การไม่เบียดเบียน กิริยาที่ไม่เบียดเบียนต่อผู้อื่น. บทว่า สญฺญโม ได้แก่การสำรวมด้วยศีล.

บทว่า ทโม ได้แก่การฝึกอินทรีย์. คุณชาตินี้แลมีอยู่ในบุคคลใด. บทว่า เอตทริยา เสวนฺติ ความว่า พระอริยะทั้งหลาย ได้แก่ พระพุทธเจ้า

พระปัจเจกพุทธเจ้า และสาวกของพระพุทธเจ้า ย่อมเสพฐานะนี้คือ ย่อมเข้าไปหา ย่อมคบบุคคลชนิดนี้. บทว่า เอตํ โลเกอนามตํ ได้แก่ คุณชาตินั้นชื่อว่าอมตะ เพราะให้สำเร็จถึงความไม่ตาย.

พระโพธิสัตว์แสดงธรรมแก่สองพ่อลูก

อย่างนี้แล้ว เจริญพรหมวิหารสี่ มุ่งต่อพรหมโลก.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา

แล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ทรงประชุมชาดก.

เมื่อจบสัจธรรม

พ่อลูกทั้งสองตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล.

พ่อลูกในครั้งนั้น ได้เป็นพ่อลูกในบัดนี้.

ส่วนดาบสคือ เราตถาคต นี้แล.

http://www.84000.org/tipitaka/atita100/jataka500.php?s=166

-----------------------------------------------------

---------------------------------------------

# กา.

*ทำความเห็นถูกตรง สัมมาทิฏฐิ

ทั้งเบื้องต้น ข้อ1,2,5,8,10

และเบื้องปลาย ทั้ง4 ข้อ

อันที่จริง สถานที่ที่ไม่ถูกเผาก็ดี สถานที่ที่ไม่ใช่ป่าช้าก็ดี สถานที่ที่ศีรษะไม่ทอดลงก็ดี ไม่อาจหาได้ในแผ่นดิน..

ทำความเห็นถูกตรงสัมมาทิฏฐิ

   เบื้องต้น10ประการ คือ

1.ทานที่ให้แล้วมีผลให้ทานแก่   พวก14 ด้วยอามิสทาน อภัยทายและธรรมทานเพื่อ

ปรุงแต่งจิตมีผลดีจริง

2.  ยัญที่บูชาแล้วมีผล;บูชาบุคลที่ประพฤติสุจริต 3 ด้วยอามิสบูชา

3. การเซ่นสรวงดีมีผล;บวงสรวงแก่แขก ญาติ เทว

ราช เปรต เพื่อเสริม กำลังเรา

มีผลดี

4. ผลคือวิบากของกรรมที่ทำดี

และทำชั่วมีแน่

5.  โลกนี้มีจริง::

--->เชื่อว่าผู้ที่จะมาเกิด

ในโลกนี้มีจริง

6.  โลกหน้ามีจริง::

---->เชื่อว่ายังเวียนว่ายอยู่จะต้อง

เกิดใหม่ในโลกหน้าและ รับผลกรรมที่ทำ ไว้ในโลกนี้

7.  มารดามี ;มีบุญคุณต้องตอบแทนการทำดีทำชั่วต่อมารดา ย่อมจะได้รับผล.

8.  บิดามี;มีบุญคุณต้องตอบแทนการทำดี

ทำชั่วต่อบิดา ย่อมได้รับผล.

9.สัตว์ที่เป็นโอปปาติกะมีจริง;

สัตว์ ที่ผุดขึ้นแล้วโตทันทีคือ

สัตว์นรก ยักษ์ เปรต เทวดา พรหม มีจริง

10.      ในโลกนี้มี สมณพราหมณ์ผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง มีอยู่

*สัมมาทิฏฐิเบื้องปลายมี4ประการ คือ

1. ความรู้ในทุกข์; ยึดในขันธ์5

2. ความรู้ในทุกข์สมุทัย; อยากในตัณหา3

3. ความรู้ในทุกข์นิโรธ;หยุดอยากในตัณหา3

4. ความรู้ในนิโรธคามินี ปฏิปทา; ภาวนาในมรรค8

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น