กราบนมัสการพระและสวัสดีเพื่อนธรรมทุกท่านนะคะ ขออนุญาตรายงานบุญ ๑๐ (บุญกา)
ประจำวันพุธที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๙ หัวข้อแสดงธรรมและทำความเห็นให้ถูกต้องค่ะ
* บุญ ๑๐ ประการ ข้อที่ ๙ (ย.) แสดงธรรม
นิทานชาดก : สุวรรณกักกฏกชาดก
เรื่อง - ปูทองผู้ฉลาด -
ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวันเมืองสาวัตถีทรงปรารภการเสียสละชีพของพระอานนทเถระเพี่อพระองค์ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิ์สัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีอาชีพกสิกรรม วันหนึ่งเขาไปนาพร้อมบริวารบอกลูกน้องให้ทำงาน แล้วตนเองก็ไปล้างหน้าที่หนองน้ำปลายนาในหนองน้ำนั้นมีปูตัวหนึ่งอาศัยอยู่ มีสีเหลืองเหมือนสีทอง พอถึงหนองน้ำเขาก็แปรงฟัน ก่อนค่อยลงไปล้างหน้า ขณะนั้นเองปูทองได้มาอยู่ใกล้ ๆ เขา เขาเห็นมันแล้วเกิดความเอ็นดูมันจึงจับมันขึ้นมาวางไว้ที่ผ้าห่มของเขา เมื่อจะกลับไปทำนาต่อก็ปล่อยมันลงน้ำไป
วันต่อมา พอเขามาถึงนาก็จะแวะไปที่หนองน้ำจับปูขึ้นมานอนที่ผ้าห่มก่อนแล้วไปทำนาทั้งวัน ตกเย็นไปปล่อยปูลงน้ำแล้วค่อยกลับบ้านไปเป็นลักษณะเช่นนี้ประจำ เขากับปูทองจึงเกิดความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ดวงตาของพราหมณ์มีลักษณะแปลกอยู่อย่างหนึ่งคือจะเป็นวงกลม ๓ ชั้นใสแจ๋ว ที่ปลายนานั้นมีกาผัวเมียคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นตาลต้นหนึ่ง นางกาเกิดแพ้ท้องอยากกินดวงตาของพราหมณ์เจ้าของนา
"ถ้าไม่ได้กินฉันคงตายแน่ ๆ เลยล่ะ"
สามีเอ่ยปากตอบด้วยความเกียจคร้านว่า "น้องจะบ้าเหรอ ใครจะไปบังอาจเอาดวงตาของคนมาได้ อย่าหวังเลยน้อง"
นางกาจึงเสนออุบายอย่างหนึ่งว่า "พี่ใต้ต้นตาลนี้มีงูเห่าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ถ้าเราใช้ให้งูเห่ากัดเขาตายแล้วค่อยเจาะดวงตาของเขา ความหวังฉันก็เป็นจริงนะสิ"
กาสามีเห็นดีด้วย นับแต่วันนั้นกาทั้งสองเริ่มปรนนิบัติงูเห่าด้วยการนำอาหารมาให้เป็นประจำ
พอข้าวในนาเริ่มตั้งท้อง ปูทองก็เติบโตเต็มที่วันหนึ่งเวลาเช้าตรู่ พราหมณ์ก็ออกมาดูนาตามปกติ เขาแวะไปที่หนองน้ำจับปูมาวางไว้ที่ผ้าห่มแล้ว กำลังจะเดินขึ้นคันนาเลาะดูข้าวเท่านั้น ก็ถูกงูเห่ากัดเข้าที่น่องล้มลงตรงนั้น งูเห่ากัดเข้าก็เลื้อยเข้าจอมปลวกไป พอเขาล้มลงปูทองได้กระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนยอดอกของเขา กาตัวผู้ก็บินมาจับบนร่างของเขาเช่นกัน ขณะที่กากำลังจะจิกดวงตาของเขานั่นเอง ปูทองก็ใช้ก้ามปูหนีบคอกาเอาไว้แน่น แล้วขู่ว่า
"เจ้ากาชั่ว เจ้าเรียกงูมาเดี๋ยวนี้นะ มิเช่นนั้น เจ้าคอขาดแน่ ๆ"
กากลัวตายจึงร้องเรียกงูว่า "เฮ้ย..งูเห่าเพื่อนรักกลับมาก่อน ข้าถูกปูตาโปนหนีบคอแล้ว กลับมาช่วยกันก่อน"
งูเห่าพอได้ยินเสียงเรียกก็เลื้อยกลับมาแผ่บังพานหันจะฉกปู ปูจึงใช้กามปูอีกข้างหนึ่งหนีบคองูเอาไว้อีก
งูเห่าดิ้นไม่หลุดจึงร้องถามปูทองว่า "เจ้าปูตาโปน ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้นะ เจ้าหนีบคอพวกข้าทั้งสองไว้ทำไม"
ปูทองตอบว่า "เจ้างูชั่ว ชายคนนี้เป็นที่พึ่งของข้า ถ้าเขาตายไปข้าก็ต้องตายด้วย เพราะไม่มีผู้คุ้มครอง เจ้ามาทำให้เขาตายเสียแล้ว พวกเจ้าต้องตาย"
งูฟังแล้วคิดจะล่อลวงปูจึงพูดว่า "เจ้าปูตาโปน ถ้าเช่นนั้น ข้าจะดูดพิษกลับคืนให้เขาฟื้นคืนชีพมา เจ้าปล่อยพวกข้าก่อนสิ ก่อนที่พิษร้ายแรงจะทำให้เขาตาย"
ปูรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของงูจึงพูดว่า "เจ้างูชั่ว ข้าจะปล่อยเจ้า ต่อเมื่อเห็นชายคนนี้ลุกขึ้นได้ก่อนแล้ว ข้าถึงจะปล่อยกาไป" ว่าแล้วก็คลายก้ามให้งูเลื้อยไปดูดพิษคืน เมื่อพราหมณ์ได้ลุกขึ้นยืนเป็นปกติแล้ว ปูคิดว่าถ้าขืนปล่อยให้สัตว์ทั้งสองนี้ไป ก็จะกลับมาทำร้ายพราหมณ์เจ้าของนาอีกจนได้ จึงใช้ก้ามปูหนีบคอสัตว์ทั้งสองเสียชีวิตทันที ฝ่ายนางกาที่จับอยู่บนต้นตาลเห็นเหตุการณ์กลับตาลปัตรเช่นนั้น ก็รีบบินหนีไปอยู่ที่อื่น
พราหมณ์เจ้าของนาโยนร่างของกาและงูทิ้งเข้าป่าไป นับตั้งแต่วันนั้น เป็นต้นมาพราหมณ์และปูทองก็ยิ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนตราบสิ้นชีวิต
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า :
อย่าคิดทำร้ายคนอื่น เพราะตนเองจะเดือดร้อนในภายหลัง คนและสัตว์ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกัน อย่าได้คิดทำลายสัตว์และธรรมชาติเลย
ที่มา : หนังสือนิทานชาดก โดย พระมหาสุนทร สุนฺทรธฺมโม (เสนาซุย)
http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt13.php
* บุญ ๑๐ ประการ ข้อที่ ๑๐ (กา) ทำความเห็นให้ถูกต้อง
จากข้อแสดงธรรม ตรงกับสัมมาทิฏฐิ เบื้องต้น ข้อที่
1. ทานที่ให้แล้วมีผลจริง – พราหมณ์ช่วยเหลือปูมาโดยตลอด เมื่อคราวที่มีภัยเกิดขึ้นกับตน ก็ได้ปูคอยช่วยเหลือให้รอดชีวิตและพ้นภัยเช่นกัน
3. การบูชามีผลจริง – บูชาพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
4. วิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีผลจริง – พราหมณ์เป็นคนดี ไม่เคยคิดร้ายใคร ต่อให้มีภัยมาถึงตัว ก็สามารถพ้นภัยได้ด้วยกรรมดีที่เคยกระทำมา ต่างจากกาและงูเห่า ที่มีจิตคิดร้ายต่อพราหมณ์ คิดจะเบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ทำให้ต้องแพ้ภัยตัวเอง
5. โลกนี้มีจริง – ครอบคลุมไปถึง 3 เรื่อง ตั้งแต่สัตว์โลก หมายถึง จิตใจของหมู่สัตว์ทั้งหลาย ,ขันธโลกหรือสังขารโลก หมายถึง สังขารร่างกาย ขันธ์ 5 ของคนและสัตว์ทุกชนิดที่ประกอบด้วยกายและใจ ,และโอกาสโลก หมายถึง สถานที่สัตวโลกได้อยู่อาศัย และที่ทำมาหากิน รวมถึงบรรยากาศรอบตัวด้วย ,พระโพธิสัตว์เกิดเป็นพราหมณ์ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
6. โลกหน้ามีจริง – ผู้ที่ทำดี ย่อมไปเกิดยังภพภูมิที่ดี
10. พระอรหันต์ผู้ สามารถรู้แจ้งโลกนี้โลกหน้ามีอยู่จริง – พระพุทธเจ้า ,พระโพธิสัตว์
จากข้อแสดงธรรม ตรงกับสัมมาทิฏฐิ เบื้องสูง ข้อที่
1.ความรู้ในทุกข์ – ความโลภ ,ความอยาก
2.ความรู้ในทุกข์สมุทัย เหตุให้เกิดทุกข์ – นางกาเกิดแพ้ท้องอยากทานลูกตาของพราหมณ์
3.ความรู้ในทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ – มีสติอยู่บนความถูกต้อง ,ละความอยาก
4.ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ทางดับทุกข์ - มรรคมีองค์ 8 คือ หนทางถึงความดับทุกข์ เป็นส่วนหนึ่งของอริยสัจ ประกอบด้วยกรอบการปฏิบัติ 8 ประการด้วยกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น