หากเราได้เห็นพระสูตรนึงว่า สัมมาทิฐฐิ มี
๑๐ ประการในความเชื่อระดับที่มีกิเลส เราก็เชื่อไปอย่างนั้น
จนเราต้องไปทะเลาะกับคนอื่นที่เขาพูดว่าไม่ใช่อย่างนั้น สัมมาทิฏฐิ หมายถึงระดับ
ของการหลุดพ้นเท่านั้น
แต่มาเจออีกคน ก็มาพูดอีกว่าสัมมาทิฏฐิ
อยู่ในเรื่อง มรรคมีองค์ ๘ ก็ว่าไปอีกอย่างนึงอีก ทั้งระดับที่มีกิเลส
หรือพ้นกิเลสนี้ห่างกันมาก จนต่างกันคนละขั้วแต่ พระองค์ก็ตรัสไว้ อย่างนั้นจริงๆ
เพราะความต่างกันของบุคคลที่ฟัง เรื่องนี้จะอ่าน จากที่ น เขียนไว้ก็ได้ หรือ ของพระ เองก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ เหมือนกัน
ครั้งนึง พระสารีบุตร กล่าวว่า
แม้พระองค์ทรงตรัสเอง ข้าพระองค์ก็ยังไม่เชื่อ
จนกว่าจะได้ลองพิสูจน์แล้วเห็นผลจริง (เนื้อความประมาณนี้นะ แต่ตัวอักษรคงไม่เป๊ะ)
ภิกษุทั้งหลายต่างก็ตำหนิ พระสารีบุตร ที่ถือตนว่าเป็นอัครสาวก แล้วกล่าวเช่นนั้น
ขณะที่ภิกษุทั้งหลายตำหนิ แต่
พระพุทธองค์กลับทรงสรรเสริญ ว่านั่นชอบแล้ว ครั้งแรก พระ ก็คิดไปว่า
พระองค์อาจจะทรงไว้หน้าพระสารีบุตร แต่ พอมาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง
ในหลายครั้งที่ตัวเองเห็นต่างกับคนอื่น แล้วถกเถียงกัน ที่ไหนได้
เราอ่านเรื่องเดียวกันในคนละที่ ดังนั้น พวกเราควรระวังเรื่องนี้กันไว้ให้ดี
อย่าเพิ่งรีบสรุปเชื่อ เพราะอ่านคัมภีร์เดียว แล้วจะยิ่งไปกันใหญ่ หากอ่านจาก
อรรถกถา ไม่ว่าท่านจะอยู่ในยุคนี้ที่คนนับถือไปทั้งโลก
หรือท่าน
จะยิ่งใหญ่กว่าใครทั้งหลายในอดีต เพราะ ท่านก็รู้ได้ไม่ทั้งหมดในปัญญาของพระองค์ การฟังสิ่งใดจึงควรพิจารณาให้ดี
ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะรีบสรุปเอาอย่างที่ฟังนั้นว่าถูกต้องดีแล้ว
การให้ทาน
แม้จะมีสิ่งเลวเจือปนอยู่ในจิตใจที่หวังอยากได้นั่น ได้นี่ หรือเพื่ออยากอวด แต่ยังไงก็ตาม การให้ทานก็ยังเป็นสิ่งดีอยู่ดี
เป็นการปลูกเพาะ บ่มนิสัยให้เกิดความดีขึ้นไปทีละเล็กละน้อย
คำว่า
บารมี นี่ต้องใช้เวลาสะสมตัวนะ
ไม่ใช่ของที่จะเกิดขึ้นได้ในข้ามคืน
ตัวอย่าง พระองค์ทรงใช้ สี่ อสงไขย แสนกัปป์
ลองดูว่า
พระสารีบุตร พระอัญญาโกณทัณญะ หรือ อรหันต์องค์อื่นๆ
ท่านใช้กี่กัปป์ในการสร้างบารมี
เราคงไม่หวัง จะสร้างงานที่ยิ่งใหญ่ได้ใน
กระพริบตาเดียว ความดีก็เช่นเดียวกัน ค่อยเป็นค่อยไป
แม้เพียงการให้ทานนี้
หากเราให้กับท่านที่เป็นสัตบุรุษ การให้ทานในครั้งนั้น
ของเรา
จะไม่ได้มีผลแต่เพียงแค่ สวรรค์ เท่านั้นนะ
เพราะท่านเหล่านั้นที่เราได้สมาคมด้วยแล้ว ท่านย่อมพัฒนาตัวของเรา ให้ดีมากขึ้น
มีปัญญามากขึ้นอย่าง
เราไม่อาจประเมินค่าได้เลย
คงจำ เนื้อความในมงคลสูตรกันได้นะ
คือ
๑ ไม่คบคนพาล ๒ คบบัณฑิต
เพียงแค่คบยังเป็นมงคล จะต้องพูดอะไรอีกถ้าถึงขนาดให้ทานกับบัณฑิต
เพราะบัณฑิตนั้นไม่ใช่พาล เขา ย่อมมีความกตัญญูสูง กัลยาณมิตรผู้นั้น
ย่อมทำให้เรามีปัญญามากขึ้นๆ จนถึงที่สุดได้ในปลายทาง
ส่วนเรื่องศีล หากใครประพฤติ
ปฏิบัติตามศีลของตนไป ศีลนั้นจะพาเราไปจุดหมายใด หรือ?
ได้เพียงแค่สวรรค์ อย่างที่กล่าวไว้หรือไม่ ?
ลองดูจุดมุ่งหมาย
ทั้ง ๑๐ ประการที่พระองค์ทรงบัญญัติศีลพืพ ใน ๒ ข้อนี้ดูนะคือ
-
เพื่อ ปิด กั้น
อาสวะที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน
-
เพื่อ ป้อง กัน
มิให้อาสวะจะเกิดขึ้นในอนาคต
เราพอเห็นอะไร
บางอย่างไหม แม้เพียง ศีล ก็สามารถทำให้อาสวะ คือกิเลสละเอียดเครื่องหมักหมมในจิตบางลงได้
เช่นนี้ผลจะเป็นอย่างไร อย่าได้มีใครประมาทสติปัญญาของพระพุทธองค์เลย นะ เพราะศีล
ในศาสนานี้มีพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงบัญญัตติศีลได้
ปาฏิโมกข์ศีล นั้นคือ ทางแห่งวิโมกข์ ทำไมใคร
กลับคิดว่า ผลได้แค่ สวรรค์ หนอ รู้ไหมว่าวิโมกข์ หมายถึงอะไร
ไม่ว่า ทาน หรือ ศีล นั้น
เป็นบารมีที่จะต้องมีของผู้บำเพ็ญ บารมี ทั้งนั้น
บุญ
ไม่ได้ มีแค่ ทาน หรือ ศีล มีทั้ง สิบประการ บุญในความเห็นของพระเป็นอาการ
เป็นการกระทำ แต่ กุศล นั้น เป็นคุณภาพของตัวจิต ใครจะเห็นเรื่องนี้เป็นอย่างไร
ก็เรื่องของเขา พระยังเห็นด้วยไม่ได้ ว่า ทาน หรือ ศีล ให้ผลแค่สวรรค์ แม้แต่
ทานอย่างเดียว ก็มีรายละเอียดอย่างมหาศาลแล้ว มีผู้ที่ได้ศึกษาเรื่องทาน ได้บอกว่า
พระองค์ทรงเทศน์ให้ อนาถฯ
เรื่องเดียว คือ ทาน แต่ผลเราคงทราบกันดีแล้วว่า ท่านเป็น พระอริยบุคล
เรียบร้อยแล้ว
โดย พระตุ๋ย ชาคโร
โดย พระตุ๋ย ชาคโร
สาธุค่ะ
ตอบลบสาธุค่ะ
ตอบลบ